ไลโคปีน (Lycopene) คือ สารสีแดงในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผักผลไม้ที่มีสีแดง ส้ม เหลือง เช่น มะเขือเทศ ฝรั่งสีชมพู แตงโม มะละกอ เกรปฟรุต ฟักข้าว เป็นต้น ร่างกายคนเราจะพบไลโคปีนมากบริเวณต่อมหมวกไตและลูกอัณฑะ แต่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สารไลโคปีนได้ จึงต้องรับจากอาหารที่รับประทานเข้าไปเท่านั้น
ในอาหารแต่ละชนิดจะมีไลโคปีนไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าเทียบปริมาณของสด 100 กรัม จะมีไลโคปีนในผักผลไม้ที่ให้ไลโคปีนสูงดังนี้
ฝรั่งสีชมพู 100 กรัม มีไลโคปีน 5,204 ไมโครกรัม
แตงโม 100 กรัม มีไลโคปีน 4,532 ไมโครกรัม
มะเขือเทศ 100 กรัม มีไลโคปีน 3,041 ไมโครกรัม
มะละกอ 100 กรัม มีไลโคปีน 1,828 ไมโครกรัม
เกรปฟรุต 100 กรัม มีไลโคปีน 1,419 ไมโครกรัม
ในขณะเดียวกัน การดึงเอาไลโคปีนจากผักผลไม้ดังกล่าว พบว่า มะเขือเทศ เป็นผักผลไม้ที่นิยมนำมาผ่านความร้อนหรือผ่านกระบวนการดึงสารสกัดไลโคปีนมากที่สุด โดยจากการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม จะพบว่า มะเขือเทศสดที่ไม่ผ่านความร้อน จะให้สารไลโคปีนที่ร่างกายดูดซึมได้ประมาณ 3 มิลลิกรัม ในขณะที่มะเขือเทศปรุงสุกจะอยู่ที่ 3.70 มิลลิกรัม และซุปมะเขือเทศเข้มข้น จะมีไลโคปีนถึง 7.99 มิลลิกรัม
ทำไมไลโคปีนจึงสำคัญต่อร่างกาย
ไลโคปีนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพและผิวพรรณ ด้วยโครงสร้างทางเคมีของแคโรทีนอยด์ที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนทานต่อแดดได้ดีขึ้น สารสีแดงในไลโคปีนจึงช่วยบำรุงและปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดด ลดผลกระทบจากการที่ผิวโดนแดด ผิวไหม้ แสบผิว ผิวอักเสบ ส่วนประโยชน์ด้านสุขภาพ ไลโคปีนมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะสารสีแดงในไลโคปีนมีส่วนช่วยปรับสมดุลของสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการกระตุ้นให้เซลล์ภายในหลอดเลือดบริเวณหัวใจและสมองเกิดการอักเสบและเสียหาย ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีไลโคปีนปริมาณสูงเป็นประจำจึงอาจช่วยลดความดันเลือดและลดไขมันภายในเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ สารสีแดงในไลโคปีนยังมีส่วนช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการให้เซลล์อ่อนแอ เสียหาย หรือเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะการป้องกันและลดภาวะเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย
ในแต่ละวัน ควรได้รับไลโคปีนปริมาณเท่าไร
ในแต่ละวัน เรามักได้รับไลโคปีนจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เพราะเมื่อเรารับประทานผักผลไม้อย่างมะเขือเทศ แตงโม มะละกอ และผลไม้สีแดง ส้ม เหลือง อื่นๆ เราก็จะได้รับไลโคปีนเป็นประจำ แต่หากต้องการได้รับไลโคปีนเป็นอาหารเสริม ปริมาณไลโคปีนที่ปลอดภัยควรอยู่ระหว่าง 9-21 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อรักษาสมดุลของระดับไลโคปีนในเลือด และช่วยเพิ่มแคโรทีนอยด์ในผิวหนัง เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่อาจส่งผลให้เซลล์ได้รับความเสียหาย จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ
การบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับไลโคปีนในปริมาณสูง แนะนำให้รับประทานมะเขือเทศที่ผ่านความร้อน ปรุงสุก เพื่อทำให้โครงสร้างของไลโคปีนเปลี่ยนจาก Trans isomers เป็น Cis isomers ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไลโคปีนได้ดีกว่าการรับประทานมะเขือเทศแบบสดๆ นอกจากนี้ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันดี เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดี เพราะไลโคปีนเป็นสารที่ละลายในไขมันและไขมันจะช่วยในการดูดซึมไลโคปีนเข้าสู่ระบบการไหลเวียนเลือดได้ดีและทั่วถึง
ไลโคปีนชนิดน้ำมันที่บรรจุในแคปซูลชนิดซอฟท์เจล เป็นตัวเลือกหนึ่งในการเสริมไลโคปีนให้ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม เพราะเป็นสารสกัดไลโคปีนที่ผ่านกระบวนการดึงไลโคปีนจากมะเขือเทศด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ไลโคปีนเข้มข้น และนำส่งไลโคปีนในรูปแบบซอฟท์เจลไปผ่านการดูดซึมที่ลำไส้ ก่อนจะส่งไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายทางกระแสเลือด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพและผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพที่ดียาวนานขึ้น
>> ดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ คลิก https://www.positifthailand.com/products/supplement/positif-lycopene-tocotrienol-soft-capsule-tometo-extract-15-days-y2r2.html