"โรคตา" ต้องระวัง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนจะสายเกินไป

ปัจจุบันปัญหาสุขภาพดวงตา เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญทั้งของไทยและของโลก โดย  พบว่ามีถึง 36 ล้านที่เป็นคนตาบอด  และ 253 ล้านคน เป็นผู้ป่วยสายตาพิการ โดย 65 เปอร์เซ็นต์ของผู้สายตาพิการเป็นคนอายุ 50 ปีขึ้นไป

ส่วนสาเหตุหลักของผู้ป่วยตาบอดและสายตาเลือนรางในประเทศไทยคือโรคต้อกระจก โดยคิดเป็น 69.7 เปอร์เซ็นต์ของสาเหตุการตาบอดและตาเลือนรางทั้งหมด โดยแต่ละปี จะมีผู้ป่วยต้อกระจกรายใหม่เกิดขึ้น 60,000 คน ขณะที่ยังมีผู้ป่วยรายเก่าสะสม รอรับการผ่าตัดรักษาอยู่กว่า 100,000 คน รองลงมาคือ โรคทางจอประสาทตา และโรคต้อหิน

ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการที่เลนส์ตาเสื่อมสภาพ เกิดเป็นเหมือนมีฝ้าขุ่นๆ มาบังสายตา ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเรามองผ่านกระจกฝ้า ส่งผลต่อการมองเห็นไม่ว่าจะเป็นตาพร่ามัว มองภาพซ้อน สู้แสงไม่ได้  บางครั้งร้ายแรงจนเสี่ยงตาบอด 

โดยมีปัจจัยจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัยของคนเรา หรือปัจจัยจากสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟรอบๆ ตัว จากโทรทัศน์ มือถือ จอคอมพิวเตอร์ ดวงไฟต่าง ๆ  โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยที่อยู่บนหน้าจอมือถือกว่า 9 ชม.ต่อวัน ยิ่งส่งผลให้ตาเกิดความเสื่อมได้มากกว่าเดิม หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนก็ส่งผลต่อดวงตาของเราด้วยเช่นกัน เพราะปริมาณ UV จากแสงจากดวงอาทิตย์มีมากกว่าเดิม  

แนวทางการรักษามีตั้งแต่หยอดตาตามที่คุณหมอสั่ง หรือผ่าตัด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเหยียบแสน นอกจากนี้หลังผ่าตัดต้อดูแลแผล ปิดตานานกว่า 4 สัปดาห์ เพื่อป้องกัน ฝุ่น มลภาวะ น้ำ และแสงแดด 

พฤติกรรมเสี่ยงซึ่งส่งผลให้เกิดอันตรายกับดวงตา ดังนี้

1. การสูบบุหรี่ มีผลจากผลการวิจัยมากมายที่พูดถึงอันตรายของบุหรี่ ควันบุหรี่ สารในบุหรี่ โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ถือเป็นภัยคุกคามต่อดวงตาเช่นกัน ส่งผลให้เกิดโรคตา  เช่น โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคม่านตาอักเสบ (uveitis) โรคเบาหวานขึ้นตา โรคตาแห้ง เป็นต้น

 2. การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ เช่น น้ำอัดลม อาหารฟาสต์ฟู้ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินจากผักและผลไม้ไม่เพียงพอและอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งดวงตาต้องการวิตามินในการซ่อมแซม และช่วยในการปกป้องดูแลเช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ

 3. ไม่สวมแว่นกันแดด การออกแดด พบเจอแสง UV โดยตรง โดยไม่ได้รับการป้องกัน เป็นการทำร้ายดวงตา ทำให้เกิดได้ทั้งต้อลม ต้อเนื้อ

 4. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการหลับ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเร่งให้เกิดให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้เกิดการหมองคล้ำใต้ตา ตาแห้งและมองเห็นไม่ชัด

 5. การดื่มน้ำน้อยไป   การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละแปดแก้วน้ำ ดีต่อสุขภาพอย่างที่รู้กันอยู่ แต่ในทางกลับกันเมื่อการดื่มน้ำน้อยไปไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายส่งผลโดยตรงต่อการผลิตน้ำตาที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา  ทำให้เกิดอาการตาแห้ง  ตาแดง และเปลือกตาบวมช้ำ

 6. การขยี้ตา  การขยี้ตาเป็นการทำลายเส้นเลือดเล็กๆ ภายใต้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตา ทำให้เกิดการหมองคล้ำ ตีนกา และถุงใต้ตาก่อนวัยอันควร

 7. ไม่เคยเข้ารับการตรวจสุขภาพตา การตรวจสุขภาพตาเพื่อให้รู้ก่อนถึงปัญหา ภาวะเสี่ยง โรคตาบางชนิดไม่แสดงอาการเจ็บปวด หรือสัญญาณเตือนใดๆ เช่นโรคต้อหินเฉียบพลัน

การดูแล ป้องกัน การพักสายตา การป้องกันฝุ่นและแสงที่เข้ามาไม่ว่าจะจากจอมือถือหรือแสงแดด รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นการรับประทานอาหารบำรุงดวงตา เช่น อาหารกลุ่มที่มี โอเมก้า 3, 6  และ 9 เช่น น้ำมันจากเมล็ดแฟลกซ์ซีด น้ำมันปลา ซึ่งจะช่วยลดอาการตาแห้ง ให้ความชุ่มชื้น / ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ตา ลูทีนและซีแซนทีน สารสกัดสำคัญสำหรับดวงตา ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของจุดรับภาพในจอประสาทตา ช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา  สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ มีวิตามินเอสูง ช่วยลดการอักเสบของดวงตา เสริมสร้างความแข็งแรง  และบำรุงสายตา

สำหรับการป้องกันดวงตา แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีน้ำมันแฟลกซ์ซีด  เพราะมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา ซึ่งถ้าดวงตาชุ่มชื้น ไม่แห้ง มีน้ำหล่อเลี้ยงในระดับที่พอดี สมดุล อาการตาแห้ง แสบตา ตาพร่ามัว ก็จะดีขึ้น ซึ่งน้ำมันแฟลกซ์ซีดนี้ คนญี่ปุ่นนิยมกันมาก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้สารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างโอเมก้า 3, 6, 9 ซึ่งโอเมก้า 3 นี้มักจะพบได้ในปลาซะส่วนใหญ่ แต่ น้ำมันแฟลกซ์ซีดมีทั้งโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 อีกด้วย  ดังนั้นจึงช่วยลดอาการตาแห้งอย่างได้ผล โดยการเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณของชั้นน้ำตาส่วนไขมัน ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่นอกสุด คอยสร้างความหล่อลื่น บำรุง และปกป้องกระจกตา ทั้งยังเป็นเกราะป้องกันดวงตาจาก มลภาวะต่างๆ ทั้งฝุ่น ควัน แสงแดด แสงจ้าจากฟลูออเรสเซ้นท์ จอมือถือ อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ รวมทั้งจอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำร้ายดวงตาของเรา  

นอกจากแฟลกซ์ซีดแล้ว การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีลูทีน ซีแซนทีน ด้วยจะได้ผลดีต่อตาของเรายิ่งขึ้น เพราะลูทีนและซีแซนทีน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบในจุดรับภาพที่จอประสาทตาและเลนส์ตาและเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าจากจอมือถือ จอคอมพิวเตอร์ที่อาจส่งผลเสียต่อดวงตาและเป็นอันตรายต่อดวงตา โดยสามารถลดภาวะความเสื่อมของโรคต้อกระจกได้โดยตรง และยังทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันเซลล์รับแสงอีกด้วย

นอกจากนี้ สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ ก็มีประโยชน์มากเช่นกันค่ะ เพราะมีสารแอนโทไซยานิน ที่มีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพของสายตา ป้องกันโรคดวงตาเสื่อม อีกทั้งมีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาหนัก ช่วยทำให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด และยังช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา และลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา โดยข้อมูลจาก Archives of Ophthalmology ชี้ให้เห็นว่า การรับประทานบลูเบอร์รี่วันละ 3 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดในวัยผู้ใหญ่ได้ด้วย 

และเมื่อรวมกับสารสกัดจากแครอทที่มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดีขึ้น และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย บวกกับสารสกัดจากมะเขือเทศ ที่มีส่วนประกอบสำคัญของสีที่เรตินาของลูกตา ที่ช่วยให้สายตาปรับตัวในแสงสว่างได้ อีกด้วย

ซึ่งโพสิทีฟ แฟลกซ์ซีด ออยล์ คัดสรรสารสกัดที่กล่าวมาข้างต้นบรรจุในซอฟท์เจลคุณภาพสูง ที่สามารถคงคุณค่าของสารสกัดเข้มข้นเพื่อดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ >> คลิก https://www.positifthailand.com/products/supplement?Collection[]=t2y2